อยากไป ไม่รู้จะทำงานทันหรือเปล่า

39 ปี 6 ตุลา มีอีกมุมที่ควรรำลึกและทบทวนว่าในฟากของ "อุดมการณ์สังคมที่เป็นธรรม" นั้นมันล่มสลาย และยังหาไม่เจอ (ทำให้พวกเดือนตุลาบางคนคลั่งบ้าไปกับเผด็จการ)

6 ตุลา 2519 เป็นวันเดียวกันที่เมืองจีนโค่น "แก๊งสี่คน" นับถอยหลังอุดมการณ์สังคมนิยมที่ทำให้ "จนและอดอยากโดยเสมอภาค" เปลี่ยนมาเดินแนวทางทุนนิยมกระทั่งมีเศรษฐีมหาเศรษฐีรวยล้นโลกเช่นทุกวันนี้

จีนเปลี่ยนก่อนโซเวียตอีกนะครับ แล้วอีกไม่กี่ปีต่อมา โซเวียตก็ล่มสลาย กำแพงเบอร์ลินพังทลาย กวาดคนในยุโรปตะวันออกเป็นพันล้านเข้าสู่โลกแห่งการต่อสู้ดิ้นรนในสังคมทุนนิยม

รัสเซียเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตย เยลต์ซินเป็นผู้นำยืนท้ารถถัง แต่เมื่อเยลต์ซินเป็นนายกฯ ก็แบ่งเค้กน้ำมันให้นักธุรกิจจำนวนหนึ่งร่ำรวยมหาศาล (เช่น โรมัน อบราโมวิช เจ้าของเชลซี)

บางคนอาจถามว่านั่นหรือคือประชาธิปไตย ผมก็จะตอบว่านั่นล่ะคือทุนนิยม

เพราะเราปฏิเสธทุนนิยมไม่ได้ เพราะ "ฟ้าสีทอง" สังคมนิยมเผด็จการชนชั้นกรรมาชีพพิสูจน์แล้วว่าใช้ไม่ได้ผล ล้มเหลว อุดมคติคอมมิวนิสต์หรือพระศรีอาริย์มันอาจเป็นจริงในพันปีข้างหน้าแต่ไม่ใช่วันนี้ มันฝืนธรรมชาติมนุษย์ ที่ความอยากได้ใคร่มี ความอยากมีชีวิตที่ดีกว่า ความรักครอบครัว ความอยากให้ลูกมีอนาคต ไปจนความอยากรวย หรืออยากหล่ออยากสวย อยากปี้อยากเอา ฯลฯ คือแรงผลักดันให้คนเราทำงาน ขยันทำการผลิต คิดค้น

จีนคงไม่มีอาลีบาบา ถ้ายังคงระบบค่าแรง 8 ขั้น ใครขยันได้สรรนิพนธ์ประธานเหมา สหายที่เคยไปจีนเล่าให้ฟัง เข้าไปซื้อของในร้าน ห้าโมงปั๊บปิดไม่สนใจลูกค้าเพราะไม่ได้ % เศรษฐกิจจะไม่ตายได้ไง

โลกไม่อาจปฏิเสธทุนนิยม ต่อให้มันเป็นระบบมือใครยาวสาวได้สาวเอา เหลื่อมล้ำ และชั่วร้ายอย่างไร เพียงแต่คู่กับด้านมืดมนุษย์ก็มีด้านสว่าง ด้านที่รักความเป็นธรรม ความยุติธรรม ความเห็นอกเห็นใจ มันจึงต้องมีพลังแห่งความเป็นธรรมที่ต่อสู้เพื่อควบคุมทุนนิยม เป็นการต่อสู้ที่ไม่จบสิ้น จบเมื่อไหร่โลกก็ไม่หมุนเมื่อนั้น ทุนนิยมเอามากไป สังคมเดือดร้อน เศรษฐกิจฉิบหาย พลังความเป็นธรรมตึงเข้มไป ทุนนิยมไม่พัฒนา เศรษฐกิจก็ไม่ไปข้างหน้า

ระบอบของการต่อสู้ต่อรองนี่แหละคือประชาธิปไตย หลักอำนาจจากเสียงข้างมาก หลักเสรีภาพ เสมอภาค สิทธิมนุษยชน ซึ่งมันอาจไปได้ไม่ถึงทั้งหมด คือแม่-ไม่วันหรอกที่จะไปถึงจุดที่ไม่มีความเหลื่อมล้ำ แค่ถ่วงกันให้สังคมเดินไปได

ทุนนิยมพัฒนามาคู่กับประชาธิปไตย ประชาธิปไตยพยายามจะควบคุมมัน แต่ไม่เคยคุมได้หมด คนส่วนหนึ่งจึงด่าประชาธิปไตย ทั้งที่ความจริง ถ้าทุนนิยมคู่กับเผด็จการก็ฉิบหาย อำนาจที่ไม่ต้องเกรงใจประชาชนไม่มีใครตรวจสอบได้ มาเป็นผู้ตัดสินผลประโยชน์

ทุกวันนี้ สังคมไทยแม่-บิดเบือนไปจนกระทั่งด่าประชาธิปไตยเป็นทุนนิยม หาว่าประชาธิปไตยคือระบอบมือใครยาวสาวได้สาวเอา คือระบอบบุฟเฟต์ เพื่อจะบอกว่าต้องใช้อำนาจเผด็จการเท่านั้นจึงจะสร้างสังคมเป็นธรรมได้

ถ้าไม่ตาบอดก็หลอกให้คนปิดตา ย้อนยุคบ้าไปกับอุดมคติที่ตายไปแล้วร่วม 30 ปี

เมื่อ 100 ปีก่อน สังคมนิยม ลัทธิมาร์กซ์ เคยเป็นความหวังของคนมีอุดมการณ์ทั้งหลาย พอสังคมนิยมล่มสลาย 30 กว่าปีที่ผ่านมา ผู้คนก็พยายามไขว่หาอุดมคติแปลกๆ ใหม่ๆ แต่ไม่เคยมีใครประสบความสำเร็จ ไม่ว่ารัฐอิสลาม รัฐพุทธ รัฐ NGO บางพวกก็ถลำไปในอุดมคติสุดโต่งแบบใหม่ๆ เช่น พวกตะวันออกกลางครั้งหนึ่งเคยต่อสู้จักรพรรดินิยมอเมริกาเพื่ออิสระภาพ เสรีภาพ พัฒนามาเป็นขบวนการปาเลสไตน์ พัฒนามาเป็นอัลกออิดะห์ แล้วก็เกิดสุดโต่งแบบ ISIS ในขณะที่จักรพรรดินิยมอเมริกากลับปรับตัว เมื่อคนอเมริกันมีคุณภาพชีวิต ต่อต้านสงคราม เรียกร้องสิทธิมนุษยชน จากส่งออกรัฐประหารเผด็จการ คนอเมริกันกลับต่อต้านเสียเอง

อันนี้จะบอกว่าไม่ต้องแปลกใจหรอกที่พวกซ้ายเดือนตุลาส่วนหนึ่งก็บ้าไปจนเคว้งคว้าง พวกนี้ยังไม่ตื่นจากเพลง "ปฏิวัติถั่งโถมโหมแรงไฟ" จนหน้ามืดเห็นรัฐประหารเป็น "ปฏิวัติโค่นล้มสังคมแบบเก่า" หรือเพ้อเจ้อ "ปฏิวัติประชาชน"

สำหรับผม 39 ปี 6 ตุลา ไม่มีอะไรสำคัญกว่าเสรีภาพ สิทธิมนุษยชน ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ส่วนสังคมอุดมคติ ไม่มีแล้ว ไม่ได้คิดฝันอะไรกับมัน นอกจากเป็นประชาธิปไตยไปทีละขั้นๆ พี่จรัล ดิษฐาอภิชัย นี่แหละพูดดีที่สุด ไม่มีหรอก ประชาธิปไตยสมบูรณ์ ไม่มีหรอก การต่อสู้ครั้งสุดท้าย เราต้องการแค่สังคมเปิดกว้าง มีความเป็นธรรมบ้าง ไม่เป็นธรรมบ้าง ก็ต่อสู้กันไป เผลอเมื่อไหร่ ประชาธิปไตยทุนนิยม มันก็จะมีคนโกง คนเอารัดเอาเปรียบ คุณก็จะกำจัดได้บ้างไม่ได้บ้าง โอ๊ย โลกมันก็เป็นอย่างนี้อย่าบ้ากันนักเลย เพราะฉะนั้น & ฉะนี้ ประชาธิปไตยมันจึงไม่ใช่ระบอบที่ต้องจับปืนเข้าไป "ตายเพื่อ" ที่แต่สู้ตายก็เพราะการกำจัดเสรีภาพหยามหมิ่นศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ นั่นละสำคัญ

 
Top